บทความ

การทำ Content Marketing ให้ปัง เข้าถึงลูกค้าได้ผลจริง!

การทำ Content Marketing ให้ปัง! เข้าถึงลูกค้าได้ผลจริง!

ในโลกธุรกิจออนไลน์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด การทำ Content Marketing ที่มีประสิทธิภาพกลายเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ปี 2025 นี้ เทรนด์การสร้าง Content Marketing เน้นไปที่การสร้างคอนเทนต์ที่ให้คุณค่า สร้างประสบการณ์ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากกว่าการขายสินค้าแบบตรง ๆ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเทคนิคการทำ Content Marketing ที่ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ เพิ่มยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าของคุณ Content Marketing คืออะไร? คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง หรือ Content Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดที่เน้นการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า มีประโยชน์ และเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ โดยมีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดความสนใจ สร้างการรับรู้ และกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อในที่สุด แต่ที่สำคัญ คือ การทำ Content Marketing ไม่ใช่การยัดเยียดการขายสินค้าแบบตรง ๆ แต่เป็นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย Content Marketing เป็นส่วนหนึ่งของการทำ Digital Marketing โดยเนื้อหาที่สร้างขึ้นสามารถอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บทความบนเว็บไซต์, โพสต์บนโซเชียลมีเดีย, วิดีโอ, พอดแคสต์, อินโฟกราฟิก และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละขั้นตอนของการตัดสินใจซื้อ เมื่อธุรกิจทำ Content Marketing อย่างสม่ำเสมอและมีคุณภาพ จะช่วยสร้างและเสริมความสัมพันธ์กับลูกค้าปัจจุบันและกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าแบรนด์เป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่ต้องการให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างจริงใจ เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องการสินค้าหรือบริการ พวกเขาก็จะนึกถึงแบรนด์ของคุณเป็นตัวเลือกแรก ๆ ทำไมการทำ Content Marketing จึงมีความสำคัญ? การทำ Content Marketing ให้สร้างสรรค์และถูกช่องทางในเวลาที่เหมาะสมนั้นช่วยให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จัก เพิ่มยอดขายและสร้างการจดจำแบรนด์ได้ในระยะยาว สร้างการรับรู้ กระตุ้นยอดขาย สร้างความน่าเชื่อถือ ประหยัดค่าใช้จ่าย และตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล ดิจิมัสเกตเทียส์พร้อมรับหน้าที่วางแผนกลยุทธ์การทำ Content Marketing ประเภทของ Content Marketing ในยุคดิจิทัล การสร้าง Content Marketing มีหลากหลายรูปแบบที่สามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจคุณ ลองมาดูประเภทที่น่าสนใจกัน: 1. Online Content Marketing (การตลาดเนื้อหาออนไลน์) การสร้างคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของคุณเองเป็นหัวใจสำคัญของการทำ Content Marketing ออนไลน์ เนื้อหาที่มีคุณภาพจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google ทำให้ผู้คนสามารถค้นพบธุรกิจของคุณได้ง่ายขึ้น 2. Social Media Content Marketing (การตลาดเนื้อหาบนโซเชียลมีเดีย) ด้วยผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั่วโลกกว่า 4.5 พันล้านคน ทำให้แพลตฟอร์มเหล่านี้เป็นช่องทางที่ทรงพลังสำหรับการทำ Content Marketing เช่น Facebook, Instagram, LinkedIn, TikTok โดยการสร้างคอนเทนต์ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น รูปภาพ, วิดีโอสด, โพสต์ข้อความ 3. Video Content Marketing (การตลาดเนื้อหาวิดีโอ) วิดีโอเป็นรูปแบบเนื้อหาที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดย 73% ของผู้บริโภคชอบเรียนรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการผ่านวิดีโอ การทำคอนเทนต์การตลาดด้วยวิดีโอที่น่าสนใจสามารถเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement) และช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าหรือบริการได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น การเริ่มต้นสร้างช่อง YouTube เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 4. Blog Content Marketing (การตลาดเนื้อหาบล็อก) การเขียนบทความบล็อกเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ เพิ่ม SEO และสร้างความน่าเชื่อถือ ยิ่งคุณสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากเท่าไร โอกาสที่พวกเขาจะกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณก็มีมากขึ้นเท่านั้น 5. Infographic Content Marketing (การตลาดเนื้อหาอินโฟกราฟิก) อินโฟกราฟิกเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายผ่านภาพกราฟิก การผสมผสานระหว่างข้อความที่อ่านง่าย ประโยคสั้น ๆ กระชับ และภาพที่ชัดเจนช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว การทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งด้วยอินโฟกราฟิกช่วยให้ข้อมูลเข้าใจง่ายขึ้น 6. Podcast Content Marketing (การตลาดเนื้อหาพอดแคสต์) พอดแคสต์เป็นรูปแบบเนื้อหาที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ให้อิสระในการสร้าง Content Marketing เพราะสามารถพูดคุยเรื่องอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเสพเนื้อหาในรูปแบบเสียงระหว่างทำกิจกรรมอื่น ๆ 7. Real-Time Content Marketing (การตลาดเนื้อหาแบบเรียลไทม์) การทำคอนเทนต์การตลาดที่เกาะกระแสหรือเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนั้น ช่วยให้แบรนด์ดูทันสมัย ทันเหตุการณ์ และสามารถสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ได้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องระมัดระวังเรื่องความเหมาะสมและความเสี่ยงที่อาจเกิดดรามา การใช้บริการ KOL ที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของคุณสามารถช่วยเร่งการเติบโตของแบรนด์ได้ 8. Question & Answer Content

Read More »
ระบบขายของออนไลน์: สิ่งที่คุณต้องรู้เพื่อความสำเร็จในโลกออนไลน์

ระบบขายของออนไลน์: สิ่งที่คุณต้องรู้เพื่อความสำเร็จในโลกออนไลน์

ในยุคที่ใคร ๆ ก็ตัดสินใจซื้อสินค้าได้เพียงปลายนิ้ว ระบบขายของออนไลน์กลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจที่ต้องการเติบโตในโลกดิจิทัล บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโปรแกรมขายของออนไลน์ ประโยชน์ที่จะได้รับ และเหตุผลที่คุณควรใช้ระบบหลังบ้านขายของออนไลน์ เพื่อยกระดับธุรกิจของคุณให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน สำหรับผู้ที่อยากเริ่มขายของออนไลน์ หรือต้องการพัฒนาธุรกิจดิจิทัลให้เติบโต ร้านค้าออนไลน์ คืออะไร? ร้านค้าออนไลน์ คือ การขายสินค้าผ่านช่องทางขายของออนไลน์ หรือแพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เช่น Shopee, Facebook, Lazada, Line, TikTok รวมถึงการทำเว็บไซต์ขายของเป็นของตัวเอง ข้อดีคือไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านจริง ทำให้ประหยัดต้นทุนค่าเช่าร้าน ค่าจ้างพนักงานต้อนรับ และค่าตกแต่งร้าน การขายของออนไลน์สามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่จำกัดพรมแดน และเป็นอาชีพที่ตอบโจทย์คนอยากหารายได้เสริม สามารถทำควบคู่ไปกับงานประจำได้ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการขายของออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จก็คือระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ คืออะไร? ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ คือ ระบบหลังบ้านขายของออนไลน์ หรือโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการขายสินค้าออนไลน์ ช่วยให้การทำงานเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โปรแกรมขายสินค้าออนไลน์นี้สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ หรือ E-Market Place เพื่อรับออเดอร์ รวบรวมคำสั่งซื้อ และรวมแชทจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ มาบริหารจัดการภายในระบบเดียว นอกจากนี้ระบบขายของออนไลน์ยังมี Dashboard ที่ช่วยสรุปผลการดำเนินงานในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทำให้การทำงานสะดวก รวดเร็ว และสามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้ทันท่วงที สร้างความประทับใจ เพิ่มโอกาสการกลับมาซื้อซ้ำ และการบอกต่อ ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์จึงช่วยเพิ่มยอดขาย สร้างรายได้ และนำไปสู่ผลกำไรที่น่าพึงพอใจ ระบบหลังบ้านร้านค้าออนไลน์มีหลักการทำงานอย่างไร? ระบบหลังบ้านขายของออนไลน์มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ส่วนที่ทำงานร่วมกัน ดังนี้: 1. ระบบจัดการออเดอร์ (OMS – Order Management System) ระบบจัดการออเดอร์ทำหน้าที่ดูดออเดอร์หรือคำสั่งซื้อจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ มารวมไว้ในระบบเดียวกัน รวมทั้งแชทของลูกค้าที่สอบถามเข้ามา ทำให้ง่ายต่อการทำงาน ระบบนี้ช่วยให้คุณสามารถ: 2. ระบบจัดการสต๊อก (WMS – Warehouse Management System) ระบบจัดการสต๊อกช่วยบริหารจัดการคลังสินค้า และสามารถเชื่อมต่อกับระบบจัดการออเดอร์ ทำให้: 3. ระบบจัดการธุรกิจออนไลน์ (ERP – Enterprise Resource Planning) ระบบ ERP เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยบริหารจัดการได้หลายภาคส่วน ครอบคลุมการทำงานหลายด้าน: ERP แตกต่างจากระบบ WMS ที่เน้นการบริหารจัดการคลังสินค้า แต่ทั้งสองระบบสามารถเชื่อมต่อกันได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น 4. ระบบติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้า (RFID – Radio Frequency Identification) RFID เป็นระบบช่วยติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้า ที่สามารถทำงานร่วมกับระบบ WMS ได้ ทำให้: จุดเด่นของโปรแกรมจัดการร้านค้าออนไลน์ โปรแกรมขายของออนไลน์มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายประการ ทำให้การจัดการร้านค้าออนไลน์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนี้: เปรียบเทียบระหว่างการมีและไม่มีระบบจัดการร้านค้า การตัดสินใจว่าจะใช้ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์หรือไม่ อาจพิจารณาจากการเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียได้ดังนี้: ไม่มีระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ มีระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ ข้อดี-ข้อเสีย ของการขายของออนไลน์ที่ควรรู้ก่อนเริ่มต้น ก่อนจะเริ่มต้นธุรกิจขายของออนไลน์ สิ่งสำคัญที่ควรศึกษา คือ ข้อดีและข้อเสียของการทำธุรกิจประเภทนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือและวางแผนธุรกิจอย่างเหมาะสม ข้อมูลนี้สำคัญมากสำหรับคนที่อยากเริ่มขายของออนไลน์ นอกจากนี้การศึกษาคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการขายออนไลน์ ก็จะช่วยให้เข้าใจภาพรวมของธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ข้อดีของการขายของออนไลน์ การขายของออนไลน์มีข้อดีมากมายที่ทำให้ผู้ประกอบการหลายคนเลือกที่จะเริ่มต้นธุรกิจในรูปแบบนี้: โปรแกรมจัดการร้านค้าออนไลน์ ควรเริ่มใช้เมื่อไร? หลายคนอาจสงสัยว่าควรเริ่มใช้โปรแกรมขายสินค้าออนไลน์เมื่อไร? คำตอบคือ ไม่จำเป็นต้องรอให้ออเดอร์เยอะขึ้นก่อนถึงจะเริ่มใช้งานระบบนี้ คุณสามารถใช้ตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจได้เลย โดยเฉพาะธุรกิจที่มั่นใจว่าจะขายดีและมีออเดอร์เข้ามาจำนวนมาก การใช้ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยให้ร้านค้ามีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เมื่อลูกค้าเห็นว่าร้านบริการดี ตอบแชทเร็ว ไม่ทำออเดอร์ตกหล่น และส่งสินค้าเร็ว ลูกค้าจะเกิดความประทับใจ อาจเกิดการบอกต่อ หรือกลับมาเป็นลูกค้าประจำในที่สุด สำหรับร้านค้าที่ไม่ได้ใช้ระบบหลังบ้านขายของออนไลน์ตั้งแต่แรกและพบว่าออเดอร์เริ่มเยอะขึ้น ก็สามารถนำระบบนี้มาช่วยได้ทันที เพื่อลดข้อผิดพลาดและทำให้การขายของออนไลน์ง่ายขึ้น บริการของหยุดนิ้ว มาร์เก็ตติ้ง หยุดนิ้ว มาร์เก็ตติ้ง เป็นบริษัท Creative Agency & Brand Consultant ที่เชี่ยวชาญในการสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่ทำให้ลูกค้า “หยุดนิ้ว” เพื่อสนใจคอนเทนต์ของธุรกิจคุณ เรามุ่งเน้นการสร้างการจดจำแบรนด์และเพิ่มยอดขายเพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกออนไลน์ บริการของเรามีดังนี้: สรุป: ระบบร้านค้าออนไลน์ ดีไหม? เหมาะกับใคร? ระบบขายของออนไลน์ เป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดการออเดอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ตกหล่น ดูดออเดอร์จากหลายแพลตฟอร์ม และรวมแชทไว้ในที่เดียว เหมาะกับธุรกิจออนไลน์ทุกขนาด ด้วยค่าใช้จ่ายเพียงหลักร้อยต่อเดือน แต่ให้ผลตอบแทนคือประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ข้อผิดพลาดที่ลดลง และความสามารถในการรองรับการเติบโตในอนาคต หยุดนิ้ว มาร์เก็ตติ้ง พร้อมให้คำปรึกษาเพื่อให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในโลกออนไลน์ คำถามที่พบบ่อย ระบบขายของออนไลน์ เหมาะกับธุรกิจขนาดไหน? ระบบขายของออนไลน์เหมาะกับธุรกิจทุกขนาด ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ คุณสามารถเลือกแพ็กเกจที่สอดคล้องกับขนาดธุรกิจ เริ่มต้นเพียงหลักร้อยต่อเดือน

Read More »
เปิดร้านออนไลน์: คู่มือสำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มขายของออนไลน์

เปิดร้านออนไลน์ มือใหม่อยากเริ่มขายของออนไลน์ ควรรู้อะไรบ้าง?

ในยุคดิจิทัลที่การซื้อขายสินค้าออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การเปิดร้านออนไลน์จึงเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่อยากขายของออนไลน์เพื่อสร้างรายได้เสริมหรือเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มต้น มาทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับวิธีเปิดร้านค้าออนไลน์กันก่อน ธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ คืออะไร? การทำธุรกิจออนไลน์หรือขายสินค้าออนไลน์ (E-Commerce) คือ การค้าขายและให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook, Line, Shopee, Lazada, TikTok หรือการสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเอง คุณสามารถขายสินค้าออนไลน์ได้หลากหลายรูปแบบและวางแผนการค้าขายในระยะยาวเพื่อสร้างธุรกิจที่มั่นคงในอนาคต 5 ขั้นตอนการเปิดร้านออนไลน์สำหรับมือใหม่ สำหรับผู้ที่อยากเริ่มขายของออนไลน์แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร การเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์อาจดูเป็นเรื่องยาก แต่หากทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ คุณจะสามารถเปิดร้านออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ: 1. รู้จักกลุ่มเป้าหมาย ก่อนเริ่มต้นขายของออนไลน์ สิ่งสำคัญคือการศึกษาและวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เริ่มจากข้อมูลพื้นฐาน เช่น เพศ อายุ อาชีพ และที่อยู่อาศัย จากนั้นจึงศึกษาข้อมูลเชิงลึก เช่น ความสนใจ กิจกรรมที่ชื่นชอบ และพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ หากคุณอยากขายของออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้คุณรู้ว่าใครคือลูกค้าของคุณ พวกเขาต้องการอะไร สินค้าออนไลน์ของคุณจะช่วยแก้ปัญหาอะไรให้พวกเขา และทำไมพวกเขาควรซื้อสินค้าจากคุณ การวิเคราะห์นี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น พัฒนาสินค้าที่ตรงความต้องการ และวางแผนการขายได้อย่างแม่นยำ 2. ทำความเข้าใจสินค้าที่จะขาย เมื่อคุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมสินค้าที่จะขาย คุณต้องตอบให้ได้ว่าสินค้าของคุณมีประโยชน์อย่างไร แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง มีจุดแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร และทำไมลูกค้าควรเลือกซื้อสินค้าของคุณ ตัวอย่างเช่น หากคุณขายปลอกหมอน คุณควรรู้ว่าจุดเด่นของสินค้าคืออะไร เช่น เนื้อผ้านุ่ม เบา ให้ความรู้สึกเย็น ซักแล้วแห้งไว เหมาะกับผู้มีปัญหาภูมิแพ้ และมีราคาที่ย่อมเยากว่าคู่แข่ง การเข้าใจจุดแข็งของสินค้าจะช่วยให้คุณนำเสนอได้อย่างมั่นใจและโน้มน้าวลูกค้าได้ดีขึ้น 3. เตรียมสื่อสังคมออนไลน์ให้พร้อม สื่อสังคมออนไลน์เป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจออนไลน์ ไม่ใช่เพียงแค่ช่องทางขายสินค้า แต่ยังเป็นช่องทางสำคัญในการสื่อสารกับลูกค้าและโปรโมทสินค้า เคล็ดลับความสำเร็จคือการเข้าใจบทบาทของแต่ละแพลตฟอร์ม: การใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น 4. มีช่องทางการขายที่หลากหลาย นอกจากสื่อสังคมออนไลน์แล้ว การมีช่องทางการขายที่หลากหลายจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ในยุคที่มีร้านค้าออนไลน์มากมาย ลูกค้ามักเลือกซื้อจากแหล่งที่ง่ายและสะดวกที่สุด ปัจจุบันมีมาร์เก็ตเพลสทั้งบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่รวบรวมสินค้าจากหลายร้านไว้ให้ลูกค้าเลือกซื้อได้สะดวกในที่เดียว มีระบบชำระเงินที่หลากหลาย และติดตามการจัดส่งได้ง่าย การมีหลายช่องทางจะช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการขาย 5. ทำการตลาดออนไลน์ ขั้นตอนสุดท้ายและสำคัญที่สุดคือการทำการตลาดออนไลน์ แม้จะมีสินค้าที่ดีเพียงใด แต่หากขาดการโปรโมตก็ยากที่ลูกค้าจะพบเห็นสินค้าของคุณ การทำการตลาดออนไลน์ประกอบด้วย: การทำการตลาดอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยให้แบรนด์ของคุณเติบโตและมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ วิธีเปิดร้านออนไลน์อย่างเป็นระบบ การเปิดร้านออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ นี่คือวิธีเปิดร้านค้าออนไลน์ที่ละเอียดซึ่งจะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ: ข้อดีของการเปิดร้านค้าออนไลน์ หากคุณอยากเริ่มขายของออนไลน์ คุณควรทราบถึงข้อดีที่จะได้รับจากการเปิดร้านค้าออนไลน์ ซึ่งมีมากมายและทำให้เป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่ นี่คือข้อดีที่คุณจะได้รับ: ข้อเสียของการเปิดร้านค้าออนไลน์ แม้การขายสินค้าออนไลน์จะมีข้อดีมากมาย แต่ผู้ที่อยากขายของออนไลน์ควรพิจารณาข้อเสียที่อาจพบเจอก่อนเริ่มต้น: หากต้องการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ หยุดนิ้ว มาร์เก็ตติ้ง ยินดีให้บริการ! หยุดนิ้ว มาร์เก็ตติ้ง เป็นบริษัท Creative Agency & Brand Consultant ในยุคที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้เพียงปลายนิ้ว เรามุ่งเน้นการทำให้ลูกค้าหยุดนิ้วมือเพื่อสนใจคอนเทนต์ของธุรกิจคุณ สร้างการจดจำแบรนด์ และเพิ่มยอดขายเพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกออนไลน์ เรามีบริการครบวงจรเพื่อช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จ: สรุป: วิธีเปิดร้านออนไลน์อย่างมั่นใจ การเปิดร้านออนไลน์เป็นโอกาสทองสำหรับผู้ที่อยากเริ่มขายของออนไลน์ แม้จะมีการแข่งขันสูง แต่ด้วยการวางแผนที่ดี การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง คุณก็สามารถประสบความสำเร็จได้ การได้รับการสนับสนุนจากมืออาชีพอย่าง “หยุดนิ้ว มาร์เก็ตติ้ง” จะช่วยให้คุณประหยัดเวลา ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการสร้างธุรกิจออนไลน์ที่ยั่งยืน คำถามที่พบบ่อย การเปิดร้านค้าออนไลน์ หมายถึงอะไร? เปิดร้านออนไลน์ คือ การสร้างธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อขายสินค้าและบริการ หรือที่เรียกว่า E-Commerce โดยใช้เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอสินค้า รับคำสั่งซื้อ และจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าได้โดยไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านจริง ธุรกิจรูปแบบนี้สามารถสร้างรายได้ได้ทั้งแบบรายได้เสริมหรือประกอบเป็นอาชีพหลักที่สร้างผลกำไรอย่างยั่งยืนในระยะยาว การเปิดร้านค้าออนไลน์เหมาะสำหรับใคร? การเปิดร้านค้าออนไลน์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการโฆษณาสินค้าหรือบริการของตนเองให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำที่ต้องการหารายได้เสริมในเวลาว่าง นักศึกษาที่มีเวลาหลังเลิกเรียน ผู้ที่ทำงานขายตรงหรืองานเครือข่ายที่ต้องการขยายสายงาน หรือผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจที่ให้ความเป็นอิสระและมีโอกาสสร้างรายได้สูง โดยเฉพาะผู้ที่ชอบการนำเสนอและมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโต จะขายของออนไลน์ต้องเริ่มจากอะไร? การเริ่มต้นขายของออนไลน์สามารถทำได้ง่ายโดยใช้แพลตฟอร์มที่มีอยู่แล้วอย่าง Facebook Marketplace ซึ่งมีข้อดีคือไม่ต้องลงทุนค่าเช่าพื้นที่ร้าน และสามารถลงประกาศขายสินค้าได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้ขายสามารถบริหารจัดการร้านด้วยตนเอง ทั้งการจัดโปรโมชัน สร้างคูปองส่วนลดเพื่อกระตุ้นยอดขาย หรือเลือกเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายกับทางแพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า นอกจากนี้ ผู้ขายควรเตรียมความพร้อมด้านสินค้า การถ่ายภาพสินค้าที่ดี และการเขียนคำอธิบายสินค้าที่ชัดเจนเพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้า

Read More »
Tiktok for Business เครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต

Tiktok for Business คืออะไร? เครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตในโลกออนไลน์

ในยุคดิจิทัลที่ตลาดออนไลน์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การหาช่องทางการตลาดใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาด TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่กำลังมาแรงและมีผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก ได้พัฒนาเครื่องมือพิเศษสำหรับภาคธุรกิจที่เรียกว่า “TikTok for Business” หลายคนอาจสงสัยว่า Tiktok for Business คืออะไร? และจะช่วยให้ Tiktok ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างไร มาทำความเข้าใจกันให้ชัดเจน TikTok For Business คืออะไร? TikTok For Business คืออะไร? มันคือชุดเครื่องมือที่ TikTok มอบให้สำหรับธุรกิจทุกขนาด เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายและสร้างสรรค์แคมเปญการตลาดที่น่าสนใจบนแพลตฟอร์ม TikTok ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การสร้าง Tiktok for Business Account จะช่วยเปิดโอกาสให้ธุรกิจทุกขนาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านวิดีโอสั้น ๆ ที่สร้างสรรค์และน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า หรือกระตุ้นยอดขาย Tiktok ธุรกิจมีเครื่องมือและฟีเจอร์มากมายที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกโซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากต้องการทำการตลาดบน TikTok อย่างครบวงจร คุณอาจต้องวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ ศูนย์ธุรกิจ TikTok (Business Center) เป็นศูนย์กลางในการจัดการธุรกิจและการโฆษณาบน TikTok ซึ่งช่วยให้การทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานและองค์กรหลายแห่งเป็นไปอย่างราบรื่น โดยเป็นศูนย์กลางในการจัดการเนื้อหาและการมอบหมายสิทธิ์การใช้งานต่าง ๆ คุณจึงสามารถมอบหมายให้ผู้ใช้หลายรายจัดการบัญชีโฆษณา TikTok หลายรายการได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ TikTok For Business มีประโยชน์อย่างไร? TikTok for Business มีจุดเด่นที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายด้าน ซึ่งแตกต่างจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ดังนี้: เครื่องมือสำคัญใน TikTok For Business TikTok for Business มีเครื่องมือหลากหลายที่จะช่วยให้การทำการตลาดของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งแต่ละเครื่องมือมีฟังก์ชันที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ดังนี้: TikTok For Business เหมาะสำหรับธุรกิจประเภทใด? หลายคนสงสัยว่า TikTok for Business ดีไหม และเหมาะกับธุรกิจประเภทใดบ้าง ความจริงแล้ว TikTok For Business เหมาะสำหรับธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายรุ่นใหม่ และต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จุดเด่นคือ TikTok ธุรกิจ มีโซลูชันเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งดีไซน์มาเพื่อให้แบรนด์และนักการตลาดสามารถเชื่อมโยงกับผู้ใช้ในเชิงสร้างสรรค์ได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้การทำตลาดมีความคิดสร้างสรรค์ สนุกสนาน และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง วิธีใช้งาน TikTok For Business การใช้งาน TikTok for Business ไม่ได้ยากอย่างที่คิด คุณสามารถทำตามขั้นตอนง่าย ๆ เหล่านี้เพื่อเริ่มสร้างแคมเปญการตลาดบน TikTok ได้ทันที: ค่าใช้จ่ายของ TikTok For Business หลายคนอาจสงสัยว่า TikTok for Business เสียเงินไหม และมีค่าใช้จ่ายอย่างไร ทาง TikTok ไม่ได้กำหนดราคาค่าใช้จ่ายที่ระบุไว้อย่างชัดเจน เนื่องจากราคาดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับความต้องการของแบรนด์ว่าตั้งงบไว้จำนวนเท่าใด อยากโปรโมตแบบใด รายวันหรือต่อเนื่องตลอด โดยเรทราคาขั้นต่ำในการโปรโมตเริ่มต้นที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,725.13 บาท สำหรับธุรกิจที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการทำโฆษณา TikTok อาจพิจารณาใช้บริการจากเอเจนซี่ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ข้อดีของ TikTok For Business การใช้ TikTok for Business มีข้อดีมากมายที่จะช่วยยกระดับการตลาดดิจิทัลของคุณ นอกเหนือจากประโยชน์ที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีข้อดีเพิ่มเติมดังนี้: บริการจาก “หยุดนิ้ว มาร์เก็ตติ้ง” สำหรับธุรกิจบน TikTok หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญในการทำการตลาดบน TikTok “หยุดนิ้ว มาร์เก็ตติ้ง” พร้อมให้บริการครบวงจรสำหรับธุรกิจของคุณ ด้วยบริการดังต่อไปนี้: “หยุดนิ้ว มาร์เก็ตติ้ง” เป็นบริษัท Creative Agency & Brand Consultant ที่เชี่ยวชาญในการทำให้ลูกค้าหยุดนิ้วมือเพื่อสนใจคอนเทนต์ของธุรกิจ เพื่อสร้างการจดจำแบรนด์และเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในโลกออนไลน์ สรุป Tiktok for Business คืออะไร? คือเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยธุรกิจเติบโตบน TikTok ผ่านฟีเจอร์การโฆษณา วิเคราะห์ข้อมูล และการเชื่อมต่อกับผู้สร้างเนื้อหา ช่วยให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ และสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคในรูปแบบที่สร้างสรรค์ได้

Read More »
ขายของใน Marketplace อย่างไร? ให้ยอดพุ่ง สำหรับแบรนด์ยุคใหม่

ขายของใน Marketplace อย่างไร? ให้ยอดพุ่ง สำหรับแบรนด์ยุคใหม่

ในยุคที่การซื้อขายออนไลน์เฟื่องฟู หลายธุรกิจต่างมองหาช่องทางเพิ่มยอดขายบนแพลตฟอร์มดิจิทัล และ ขายของใน Marketplace คือ หนึ่งในช่องทางที่มีศักยภาพสูงสำหรับผู้ประกอบการทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรายย่อยหรือแบรนด์ใหญ่ บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Marketplace พร้อมเทคนิคการโพสต์ขายของให้ประสบความสำเร็จและเพิ่มยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นบริการที่ หยุดนิ้ว มาร์เก็ตติ้ง เชี่ยวชาญเป็นอย่างดี Marketplace คืออะไร? Marketplace คือ แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรวบรวมผู้ซื้อและผู้ขายไว้ในที่เดียวกัน เปรียบเสมือนตลาดนัดหรือห้างสรรพสินค้าดิจิทัลที่รวมสินค้าหลากหลายประเภทจากผู้ขายจำนวนมาก ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าได้สะดวกและมีตัวเลือกมากมาย หากอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ขายของใน Marketplace Facebook ก็คือ การนำสินค้าไปวางขายในตลาดออนไลน์ที่มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาค้นหาสินค้า เป็นแหล่งนัดพบของผู้ซื้อและผู้ขาย อยากซื้ออะไร อยากขายอะไร เข้าไปที่เดียว เพราะที่ Marketplace มีทั้งบริษัท ร้านค้าที่มีสินค้านำเสนอ อีกทั้งยังมีระบบอำนวยความสะดวกในการติดต่อซื้อขายอย่างเป็นระบบอีกด้วย Marketplace vs E-Commerce เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? หลายคนอาจสับสนระหว่าง Marketplace กับ E-Commerce ซึ่งแท้จริงแล้วมีความแตกต่างกันในหลายด้าน: Marketplace: เป็นแพลตฟอร์มที่รวมร้านค้าหลายรายไว้ด้วยกัน เช่น Shopee, Lazada, ขายของใน Marketplace Facebook หรือ Amazon โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อสินค้าจากหลากหลายร้านในที่เดียว E-Commerce: เป็นการขายของออนไลน์ของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเท่านั้น เช่น เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของร้านค้าเฉพาะ อย่าง Nike, Zara หรือ Apple ที่จัดการการขาย การตลาด และการจัดการทั้งหมดด้วยตนเอง ความแตกต่างที่สำคัญอีกประการ คือ Marketplace ไม่จำเป็นต้องมีสต๊อกสินค้าเป็นของตนเอง แต่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเท่านั้น ในขณะที่ E-Commerce ต้องมีสินค้าเป็นของตัวเอง และดูแลจัดการทุกขั้นตอนตั้งแต่การสต๊อกสินค้าไปจนถึงการจัดส่ง 5 ประโยชน์ของการขายใน Marketplace การขายของออนไลน์บน Facebook และแพลตฟอร์ม Marketplace อื่น ๆ มีข้อได้เปรียบหลายประการที่ทำให้เป็นช่องทางที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นผู้ขายรายย่อยหรือแบรนด์ใหญ่ ดังนี้: 4 Marketplace ยอดนิยมในไทย ประเทศไทยมี Marketplace หลากหลายแพลตฟอร์มให้เลือกใช้ ทั้งแบบที่มีสินค้าทั่วไปและแบบเฉพาะกลุ่ม โดย 4 แพลตฟอร์มยอดนิยมที่ผู้ขายควรพิจารณา ได้แก่: 1. Facebook Marketplace การขายของออนไลน์บน Facebook Marketplace เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับทั้งบุคคลทั่วไปและธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว จุดเด่น คือ ไม่มีค่าธรรมเนียมในการลงประกาศ สามารถติดต่อกับผู้ซื้อโดยตรงผ่าน Facebook Messenger และผู้ซื้อสามารถตรวจสอบตัวตนของผู้ขายได้ผ่านโปรไฟล์ส่วนตัว ทำให้ วิธีขายของบน Facebook กลายเป็นทักษะสำคัญสำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่ 2. Lazada Lazada เป็นหนึ่งใน Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง นำเสนอเครื่องมือหลากหลายสำหรับผู้ขาย รวมถึงโซลูชันการโฆษณา การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ และการเข้าถึงแคมเปญระดับประเทศเช่น “Lazada Birthday Sale” 3. Shopee Shopee เป็นอีกหนึ่ง Marketplace ยอดนิยมในไทย โดดเด่นด้วยการเน้นประสบการณ์การใช้งานบนมือถือและจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายบ่อยครั้ง เช่น 9.9, 10.10, 11.11 เป็นต้น เหมาะสำหรับทั้งผู้ขายรายย่อยและธุรกิจขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีระบบ LiveChat ที่ช่วยให้ผู้ซื้อและผู้ขายสื่อสารกันได้โดยตรง 4. TikTok Shop TikTok Shop เป็นแพลตฟอร์มที่ผสานการขายสินค้าเข้ากับโซเชียลมีเดีย เน้นการขายผ่านคอนเทนต์วิดีโอ เหมาะสำหรับแบรนด์ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ ผู้ขายสามารถนำเสนอสินค้าผ่านวิดีโอสั้นๆ ที่สร้างการมีส่วนร่วมสูง และผู้ชมสามารถซื้อสินค้าได้โดยตรงผ่านแอปพลิเคชัน วิธีขายของใน Marketplace ให้ประสบความสำเร็จ การแข่งขันใน Marketplace ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีผู้ขายจำนวนมาก ดังนั้นวิธีการโพสต์ขายของให้โดดเด่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต่อไปนี้ คือ เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น: ทำให้สินค้าโดดเด่นด้วยภาพและคำอธิบายที่ดี การนำเสนอสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดลูกค้า ควรคำนึงถึงองค์ประกอบต่อไปนี้: บริหารจัดการสต๊อกและการตอบสนองลูกค้า การจัดการร้านค้าที่มีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความประทับใจและความไว้วางใจจากลูกค้า: ใช้กลยุทธ์การตลาดและโปรโมชัน การสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อจะช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ: สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อขายของบน Marketplace แม้ขายของใน Marketplace จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีประเด็นที่ผู้ขายควรคำนึงถึงเพื่อให้การขายสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ: นโยบายของแพลตฟอร์ม แต่ละ Marketplace มีกฎระเบียบและนโยบายของตนเอง ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้บ่อย ผู้ขายจำเป็นต้องศึกษาและปฏิบัติตามนโยบายเหล่านี้อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงรายการสินค้า การกำหนดราคา การคืนสินค้า หรือการจัดโปรโมชัน ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ผู้ขายควรคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการขายบน Marketplace เช่น

Read More »
วิธีขายของให้น่าสนใจ: 7 เทคนิคการขายที่จะช่วยชนะใจลูกค้า

วิธีขายของให้น่าสนใจ: 7 เทคนิคการขายที่จะช่วยชนะใจลูกค้าและเพิ่มยอดขาย

ในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันทางธุรกิจออนไลน์สูงขึ้นเรื่อยๆ การมีเพียงแค่สินค้าดีอาจไม่เพียงพออีกต่อไป พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์จำเป็นต้องรู้จัก วิธีขายของให้น่าสนใจเพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างยอดขายที่เติบโตอย่างยั่งยืน บทความนี้รวบรวม เทคนิคการขายแบบครบวงจร ตั้งแต่การวางแผนธุรกิจไปจนถึงการสร้าง คอนเทนต์ดึงดูดลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือขายของออนไลน์มานาน ก็สามารถนำ วิธีการขายของเหล่านี้ไปปรับใช้เพื่อยกระดับธุรกิจของคุณได้ วางแผนธุรกิจอย่างชาญฉลาดด้วยวิธีขายของให้น่าสนใจ การขายของให้น่าสนใจต้องเริ่มต้นจากการวางแผนที่ดี วิธีการขายของที่มีประสิทธิภาพต้องมีพื้นฐานจากการวางแผนธุรกิจที่รอบคอบ โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาดังนี้ 1. ตีโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้แตก เริ่มต้นด้วยการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน คุณจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับลูกค้าของคุณ ทั้งช่วงอายุ รายได้ ความสนใจ และพฤติกรรมการซื้อของ เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการให้ตรงใจที่สุด นอกจากนี้ ควรสำรวจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ เพราะความต้องการของผู้บริโภคอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา วิธีค้นหากลุ่มลูกค้าที่ใช่: 2. เลือกสินค้าที่ตนเองสนใจและมีความเชี่ยวชาญ การเลือกขายสินค้าที่ตนเองมีความสนใจและความเชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น เช่น ถ้าคุณชอบแต่งตัว คุณจะรู้ว่าแฟชั่นแบบไหนกำลังมาแรง หรือถ้าคุณชอบทำเค้ก คุณจะรู้ว่าเทรนด์เค้กในขณะนี้เป็นอย่างไร ความรู้และความหลงใหลในผลิตภัณฑ์จะทำให้คุณสามารถแนะนำและเลือกสินค้าที่โดนใจลูกค้าได้ดี 3. ตั้งเป้าหมายธุรกิจที่ชัดเจนและวัดผลได้ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีทิศทางในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายด้านยอดขาย จำนวนออเดอร์ หรือยอดผู้ติดตาม ตัวอย่างเช่น: เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว คุณสามารถวางแผนการตลาดและกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้น่าจดจำด้วยคอนเทนต์ที่น่าสนใจ การสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและ คอนเทนต์ที่น่าสนใจจะช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่จดจำและแตกต่างจากคู่แข่ง การสร้าง โพสต์ขายของให้น่าสนใจจะช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น 1. ชื่อร้านและแบรนด์ที่โดนใจ ชื่อร้านที่ดีควรมีลักษณะดังนี้: วิธีการตรวจสอบว่าชื่อแบรนด์ซ้ำกับที่อื่นหรือไม่ สามารถทำได้โดยการค้นหาบน Google, Facebook หรือ Instagram เพื่อดูว่ามีใครใช้ชื่อนี้ไปแล้วหรือยัง 2. ใช้สีเพื่อสร้างอารมณ์และความรู้สึก การเลือกใช้สีให้เหมาะสมกับแบรนด์จะช่วยสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสีแต่ละสีมีความหมายที่แตกต่างกัน: 3. สร้าง Mood & Tone และคอนเทนต์ที่น่าสนใจ การคุม Mood & Tone ของแบรนด์ให้ไปในทิศทางเดียวกัน และการสร้าง คอนเทนต์ที่น่าสนใจจะช่วยสร้างความเป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โลโก้ สีสัน การเขียนคำบรรยาย หรือการถ่ายภาพสินค้า ควรมีสไตล์ที่สอดคล้องกัน การสร้าง โพสต์ขายของให้น่าสนใจที่มีความเป็นเอกลักษณ์จะช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้ง่าย เทคนิคการขาย: การถ่ายภาพสินค้าให้น่าสนใจ ภาพถ่ายสินค้าที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของ วิธีขายของให้น่าสนใจเพราะลูกค้าไม่สามารถจับต้องสินค้าได้โดยตรง ภาพถ่ายจึงเป็นสิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้า การมี คอนเทนต์ดึงดูดลูกค้าด้วยภาพถ่ายคุณภาพสูงเป็น เทคนิคการขายที่ได้ผลดีมาก 1. ถ่ายให้ชัด ชูจุดเด่นของสินค้า นอกจากการถ่ายรูปสินค้าให้มีความสวยงามแล้ว ยังต้องดึงจุดเด่นของสินค้าออกมาผ่านภาพถ่ายให้ได้มากที่สุด ควรถ่ายภาพหลายมุม ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง รวมถึงภาพขณะใช้งานจริง เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจในตัวสินค้ามากขึ้น 2. จัดองค์ประกอบภาพให้น่าสนใจ การจัดองค์ประกอบภาพที่ดีจะช่วยดึงดูดสายตาลูกค้า สามารถใช้หลักการ Rule of Thirds หรือกฎสามส่วน โดยการแบ่งภาพออกเป็น 9 ช่องเท่า ๆ กัน และวางวัตถุหลักบริเวณจุดตัดของเส้น ซึ่งจะทำให้ภาพดูน่าสนใจมากขึ้น 3. เลือกใช้แสงอย่างเหมาะสม แสงที่ดีจะช่วยให้สินค้าดูโดดเด่นและมีมิติ ควรเลือกใช้แสงธรรมชาติเมื่อเป็นไปได้ และเลือกช่วงเวลาที่แสงเหมาะสมกับประเภทของสินค้า เช่น: วิธีการขายของด้วยกลยุทธ์การตั้งราคาอย่างชาญฉลาด การตั้งราคาที่เหมาะสมไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณได้กำไร แต่ยังเป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น 1. ตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9 การตั้งราคาที่ลงท้ายด้วยเลข 9 เช่น 199, 299, 399 เป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่ได้ผลมาอย่างยาวนาน เพราะลูกค้ามักจะประเมินราคาจากตัวเลขด้านหน้า ทำให้สินค้าดูเหมือนมีราคาถูกลง เหมาะกับสินค้าที่สามารถต่อรองได้ เพราะลูกค้าจะไม่ต่อราคามากเกินไป 2. ตั้งราคาเป็น 3 ระดับ การเสนอสินค้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันในราคา 3 ระดับ จะช่วยกระตุ้นความคิดของลูกค้าให้นึกถึงความคุ้มค่า เช่น: เมื่อลูกค้าเห็นว่าจ่ายเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อยแต่ได้ขนาดที่ใหญ่ขึ้น ก็มักจะเลือกซื้อแบบที่ใหญ่ที่สุด ทำให้คุณขายได้ในราคาที่สูงขึ้น 3. ตั้งราคาแบบขายเหมา การเสนอราคาพิเศษสำหรับการซื้อจำนวนมาก เช่น “ซื้อ 10 ชิ้น ราคาเพียง xx บาท” จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อในปริมาณมากขึ้น เหมาะสำหรับสินค้าที่ลูกค้าอาจต้องการใช้หลายชิ้น หรือซื้อไปเป็นของฝาก เลือกช่องทางการตลาดและช่องทางการขายที่เหมาะสม การเลือกช่องทางการตลาดที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีขายของให้น่าสนใจนั้นต้องเริ่มจากการเลือกช่องทางที่เหมาะกับสินค้าและกลุ่มลูกค้าของคุณ โดยแต่ละช่องทางมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป 1. Social Media: Facebook, Instagram จุดเด่น: 2. Marketplace: Shopee, Lazada จุดเด่น: ข้อควรระวัง: มีการแข่งขันด้านราคาสูง ร้านค้าใหม่อาจต้องแข่งขันด้านราคาในช่วงแรก 3. เว็บไซต์ของตัวเอง จุดเด่น: 4. LINE Official Account และ LINE My Shop จุดเด่น: ระบบการชำระเงินที่สะดวกและน่าเชื่อถือ

Read More »
กลยุทธ์ Content Marketing จากหยุดนิ้ว! รู้จักการตลาดด้วยเนื้อหา เหตุผลที่แบรนด์ต้องทำ และเทคนิคสร้างคอนเทนต์ที่ช่วยเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน

กลยุทธ์ Content Marketing: ทำคอนเทนต์อย่างไรให้ปัง? ตอบโจทย์ธุรกิจ

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางการตลาดสูงขึ้นทุกวัน หัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง คือ การทำ กลยุทธ์ Content Marketing ที่มีประสิทธิภาพ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่า Content Marketing คืออะไร และจะวางแผนอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับกลยุทธ์ Content Marketing แบบเจาะลึก พร้อมเทคนิคการพัฒนากลยุทธ์และวิธีการที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณเติบโตอย่างยั่งยืนบนโลกออนไลน์ Content Marketing คืออะไร? Content Marketing หมายถึง กลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งเน้นการสร้างและเผยแพร่เนื้อหาที่มีคุณค่า เพื่อดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย โดยมีจุดประสงค์ให้พวกเขาประทับใจและเปลี่ยนสถานะจากเพียงผู้ชมหรือผู้อ่านให้กลายมาเป็นลูกค้าในที่สุด ข้อสำคัญ คือ เนื้อหาจะต้องไม่ยัดเยียดการขายหรือโน้มน้าวใจมากเกินไป แต่ต้องผสานการขายสินค้าเข้ากับความสนุกสนานและการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่าได้รับคุณค่าจากเนื้อหานั้น จนเกิดความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ Content Marketing แตกต่างจาก Digital Marketing อย่างไร? คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง เป็นส่วนหนึ่งของ Digital Marketing หรือการตลาดออนไลน์ เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งในการทำ Digital Marketing การทำ Content มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลสินค้า ทริกความรู้ การรีวิว หรือคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจแบรนด์และสินค้ามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อในที่สุด ความสำคัญของกลยุทธ์ Content Marketing จากสถิติพบว่ากว่า 97% ของแบรนด์ใช้ กลยุทธ์ Content Marketing ในการขับเคลื่อนธุรกิจ มีเหตุผลสำคัญหลายประการที่ทำให้ Content Marketing มีบทบาทสำคัญในโลกการตลาดปัจจุบัน: Content Marketing มีอะไรบ้าง? Content Marketing มีอะไรบ้าง ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ? แต่ละรูปแบบมีข้อดีและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป: 1. Promotional Content คอนเทนต์ประเภทนี้ช่วยในการกระตุ้นและส่งเสริมการขายสินค้า เช่น การแจกสินค้า ส่วนลด หรือโปรโมชัน 1 แถม 1 โดยมักจะมีการตั้งกฎกติกา เช่น กดแชร์หรือคอมเมนต์เพื่อรับสิทธิพิเศษ ซึ่งช่วยเพิ่มทั้ง Engagement และยอดขายไปพร้อมกัน 2. Solvable Content เป็นคอนเทนต์ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์หรือช่วยแก้ปัญหาให้กับกลุ่มเป้าหมาย เช่น เทคนิคการทำธุรกิจออนไลน์ หรือวิธีใช้งานระบบต่าง ๆ โดยเนื้อหาควรเชื่อมโยงกับธุรกิจของคุณด้วย เพื่อให้ผู้อ่านได้ทั้งความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณเพิ่มเติม การดูแลช่องทาง YouTube ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของ Solvable Content ที่ช่วยลูกค้าได้อย่างเป็นรูปธรรม 3. Video Content การถ่ายทอดเนื้อหาผ่านวิดีโอหรือภาพเคลื่อนไหว เป็นอีกหนึ่งรูปแบบคอนเทนต์ยอดนิยม เพราะสามารถนำเสนอสิ่งที่คุณต้องการให้กลุ่มเป้าหมายเห็นได้อย่างชัดเจน และเข้าถึงอารมณ์ร่วมได้ง่าย ความท้าทาย คือ ต้องทำให้สนุกและน่าติดตามเพื่อให้ผู้ชมดูจนจบ การใช้ KOL สำหรับธุรกิจ ก็เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับ Video Content ได้เป็นอย่างดี 4. Real Time Content การใช้คอนเทนต์เกาะกระแสที่กำลังเป็นที่นิยม จะช่วยให้แบรนด์ของคุณดูทันสมัยและทันเหตุการณ์ ช่วยเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายได้ดีและสร้างคอนเทนต์ที่มี Engagement สูง 5. Album Content การถ่ายทอดด้วยรูปภาพหรือ Artwork แบบหลาย ๆ รูปติดต่อกันเป็นอัลบั้ม เพื่อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์หรือนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ช่วยดึงดูดความสนใจและสร้าง Engagement ได้ดี 6. Question & Answer Content คอนเทนต์ถาม-ตอบข้อสงสัยหรือปัญหาต่าง ๆ จากกลุ่มเป้าหมาย ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีเพราะได้ติดต่อกับแบรนด์โดยตรง แสดงถึงความใส่ใจและช่วยให้ผู้ติดตามไม่ต้องเสียเวลาหาคำตอบเอง 7. Quote Content การใช้ประโยคหรือคำพูดจากบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือจากแบรนด์ พร้อมรูปภาพประกอบ ช่วยกระตุ้น Engagement ได้ดีเพราะดึงความสนใจได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้เนื้อหามาก 8. Activity Content รูปแบบของกิจกรรมที่ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เช่น การเชิญชวนให้เล่นเกม เพิ่มเพื่อน กดติดตาม หรือแชร์โพสต์ ควบคู่กับการแจกของรางวัล ช่วยให้ผู้บริโภคกลายมาเป็นลูกค้าได้ง่ายขึ้น ลักษณะของ Content ตามจุดประสงค์ คอนเทนต์สามารถแบ่งตามจุดประสงค์ได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ: 1. Educate (คอนเทนต์เพื่อให้ความรู้) เน้นการให้ข้อมูลที่เป็นความจริง ตรงประเด็น และสามารถตอบหรือช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อ่านได้ มักอยู่ในรูปแบบบทความ เทคนิค วิธีการ หรือ Infographic ที่ให้ความรู้

Read More »
Content Marketing คืออะไร? ทำไมทุกแบรนด์ต้องทำ?

Content Marketing คืออะไร? ทำไมทุกแบรนด์ต้องทำ? Content Marketing จำเป็นขนาดไหน?

หากคุณมีธุรกิจของตัวเอง คุณก็ต้องทำการตลาดให้แบรนด์ตัวเอง เพื่อทำให้ผู้บริโภคนั้นรู้จักว่ามีธุรกิจนี้อยู่และนำไปสู่การสร้างยอดขาย ซึ่งหนึ่งในการตลาดที่คุณต้องทำก็คือ การทำ Content Marketing หรือที่หลายคนเรียกว่า “คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง” เพราะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทำการตลาดในยุคดิจิทัล และมีประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณในระยะยาว มาทำความเข้าใจกันว่า Content Marketing คืออะไร Content Marketing มีอะไรบ้าง และวิธีการทำ Content Marketing ให้ประสบความสำเร็จทำอย่างไร Content Marketing คืออะไร เข้าใจคอนเทนต์การตลาดให้ถูกต้อง Content Marketing หรือ คอนเทนต์การตลาด คือ การทำกลยุทธ์การตลาดในรูปแบบของคอนเทนต์ หรือการสร้างและแบ่งปันเนื้อหาที่มีคุณค่า มีความเกี่ยวข้อง และสอดคล้องกัน เพื่อดึงดูดและรักษากลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน โดยมุ่งหวังเพื่อจะผลักดันและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า คำว่า Content Marketing มาจากการรวมกันของสองคำ คือ “Content” ที่แปลว่าเนื้อหาหรือสาร และ “Marketing” ที่แปลว่าการตลาด เมื่อนำมารวมกันจึงหมายถึงการทำคอนเทนต์เพื่อการตลาด ซึ่งประกอบด้วยการตั้งจุดประสงค์ วางแผน คิดกลยุทธ์หรือแนวการสื่อสารเพื่อให้เหมาะสมกับแบรนด์ แล้วสื่อสารไปให้ถึงผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจนั้น ๆ อีกนัยหนึ่ง Content ก็คือ “แบรนด์” ที่หมายถึงการนำเสนอตัวตนของแบรนด์ไปยังผู้บริโภค ว่าคุณ คืออะไร ธุรกิจนี้เกี่ยวกับอะไร และตัวตนของแบรนด์เป็นอย่างไร แม้เป้าหมายหลักของ Content Marketing คือ การขายสินค้า แต่ไม่ได้ยัดเยียดหรือเน้นการขายจนเกินไป และไม่ได้โน้มน้าวใจอย่างชัดเจนเหมือนการโฆษณาทั่วไป ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเชิงบวกต่อแบรนด์มากกว่า Content Marketing กับ Digital Marketing ต่างกันอย่างไร? หลายคนอาจสงสัยว่า คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง เป็น Digital Marketing หรือไม่? คำตอบ คือ Content Marketing เป็นส่วนหนึ่งของการทำ Digital Marketing หรือการตลาดออนไลน์ กล่าว คือ เป็นเครื่องมือตัวหนึ่งในการทำการตลาดดิจิทัล การทำ Content Marketing นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น: ทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้บริโภคได้ทำความเข้าใจในแบรนด์และตัวสินค้าของแบรนด์มากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค การทำคอนเทนต์การตลาดที่ดีจึงต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายและตอบโจทย์จุดประสงค์ของแบรนด์ หากคุณต้องการบริการทำการตลาดบน Facebook และ TikTok ที่ครบวงจร ทีมงานของเราพร้อมช่วยเหลือคุณ 8 ประเภทของการทำ Content Marketing มีอะไรบ้าง? ในการทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง นั้น มีรูปแบบที่หลากหลายให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย Content Marketing มีอะไรบ้าง? แต่ละประเภทมีจุดเด่นและการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน ดังนี้: 1. Photo Content การทำ Content Marketing แบบรูปภาพหรือ Photo Content สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบตามความเหมาะสมของเนื้อหา เช่น: 2. Video Content เป็นประเภทที่ได้ผลตอบรับดีมากในยุคนี้ เพราะผู้บริโภคชอบดูมากกว่าอ่าน คอนเทนต์รูปแบบนี้ช่วยให้ผู้บริโภคได้เห็นสินค้าหรือบริการทุกมิติและกระตุ้นอารมณ์ได้มากกว่าแบบภาพ สามารถนำเสนอเรื่องราวได้ลึกซึ้งกว่า แต่ก็มีความท้าทาย คือ ต้องเล่าเรื่องอย่างไรให้สนุกและทำให้ผู้ชมดูจนจบคลิปได้ ทั้งนี้ การดูแลช่อง YouTube อย่างมืออาชีพจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เนื้อหาของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด 3. Real Time Content การทำ Content Marketing ที่เน้นตามกระแสหรือ Real Time Content มีข้อดี คือ สามารถทำให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์มากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว หากคอนเทนต์ที่เผยแพร่นั้นเป็นไวรัล จะช่วยสร้าง Engagement ได้ดีมาก แต่ความท้าทาย คือ ต้องสร้างสรรค์คอนเทนต์ตามกระแสอย่างไรให้แตกต่างและโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ซึ่งต้องระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดดราม่าได้ 4. Promotion Content เป็นคอนเทนต์ที่แทบทุกแบรนด์ทำเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการขาย ทั้งลด แลก แจก แถม เหมือนเป็นการประกาศข่าวสารว่าในช่วงนั้นแบรนด์มีโปรโมชันน่าสนใจให้ลูกค้า เป็นการดึงดูดการซื้อที่ได้ผลแน่นอน และยิ่งมีการยิงโฆษณาร่วมด้วยก็ยิ่งช่วยสร้างยอดขายได้มากขึ้น รวมถึงสร้าง Engagement ให้กับเพจด้วย 5. Solvable Content เป็นการนำเสนอข้อมูลที่มีประโยชน์กับผู้อ่านและช่วยแก้ปัญหาหรือคลายความสงสัยให้กับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ โดยเนื้อหาจะมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ เป็นการทำให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์ผ่านการให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ 6. Question & Answer Content การตั้งคำถาม-คำตอบจากลูกค้าหรือคนที่สนใจสินค้า/บริการ ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภคและสร้าง Engagement ได้ดี นอกจากนี้ยังอาจทำให้คนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสินค้าเข้าใจมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้ การใช้ KOL

Read More »
Content Marketing ตัวอย่าง: กลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโต

Content Marketing ตัวอย่าง: กลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตอย่างยั่งยืน

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางธุรกิจสูง “คอนเทนต์” กลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำการตลาดออนไลน์ เพราะคอนเทนต์ คือ สะพานเชื่อมระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นบทความ วิดีโอ รูปภาพ หรือรูปแบบอื่น ๆ การทํา Content Marketing ที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นทักษะสำคัญที่ธุรกิจทุกขนาดควรเรียนรู้และพัฒนา บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกเรื่อง Content Marketing ตัวอย่าง ตั้งแต่ความหมาย ประเภท ไปจนถึงแนวทางการทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้อย่างเหมาะสม มาดูกันว่า Content Marketing มีอะไรบ้าง และแบรนด์ต่าง ๆ ทำกันอย่างไร Content Marketing คืออะไร? คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง คือ กลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นการสร้างและแจกจ่ายเนื้อหาที่มีคุณค่า มีความเกี่ยวข้อง และสอดคล้องกัน เพื่อดึงดูดและรักษากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ ให้ความรู้ และกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อในที่สุด เป้าหมายของ Content Marketing ไม่ใช่แค่การขายสินค้าในทันที แต่เป็นการสร้างความสนใจในสินค้าควบคู่กับการสร้างการจดจำแบรนด์ผ่านเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง ซึ่งจะช่วยให้คุณเพิ่ม: ประเภทของ Content Marketing Content Marketing มีอะไรบ้าง? มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีจุดเด่นและเหมาะกับวัตถุประสงค์ทางการตลาดที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้ คือ ประเภทหลัก  ๆ ของ Content Marketing: 1. Blog Content Marketing บล็อกโพสต์เป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเมื่อพูดถึง Content Marketing เพราะสร้างได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าเนื้อหาไม่ยาวเกินไปและใช้รูปภาพจำนวนไม่มาก หากทำได้อย่างถูกต้อง บล็อกโพสต์สามารถช่วยคุณ: ตัวอย่างจาก Hubspot Hubspot เป็นตัวอย่างที่ดีของการทำ Content Marketing ผ่านบล็อก นอกจากการสร้างเครื่องมือการตลาดฟรี พวกเขายังใช้กลยุทธ์ Content Marketing โดย: 2. Social Media Content Marketing โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางที่เหมาะสมในการสร้างการรับรู้ (Awareness) ทำให้เข้าถึงแบรนด์ได้ง่าย และสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ที่ช่วยให้แบรนด์ได้ใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องการจัดอันดับใน Search Engine (SEO) ซึ่งเพิ่มโอกาสในการขายอีกด้วย ตัวอย่างจาก Intrepid Travel Intrepid Travel เป็นบริษัทท่องเที่ยวแบบผจญภัยที่มีศูนย์กลางคอนเทนต์ชื่อ “The Journal” ซึ่งรวบรวมเรื่องราวจากนักเดินทางจริงที่แบ่งปันประสบการณ์ของพวกเขา นอกจากนี้ พวกเขายังโพสต์รูปการเดินทางที่สร้างแรงบันดาลใจบน Facebook สลับกับคอนเทนต์ของตัวเอง ส่งผลให้มีผู้ติดตามมากกว่า 600,000 คน และสร้างชุมชนที่เข้มแข็งบนโซเชียลมีเดียต่าง ๆ 3. Visual Content Marketing รูปภาพเป็นส่วนสำคัญของโซเชียลมีเดียที่ช่วยเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย รูปภาพในที่นี้รวมถึงภาพเคลื่อนไหวแบบ GIF ที่ช่วยสร้างสีสันให้กับคอนเทนต์ของคุณ ตัวอย่างจาก Shutterstock Shutterstock ใช้ความเชี่ยวชาญด้านรูปภาพในการสร้างข้อมูลที่ทุกคนสามารถใช้งานได้ อินโฟกราฟิกของพวกเขาดึงดูดการเข้าชมเว็บไซต์มากกว่า 6 พันล้านครั้ง นอกจากนี้ Shutterstock ยังสร้างสรรค์งานที่ไม่ใช่แค่ภาพ แต่ยังรวมถึงวิดีโอและเพลงอีกด้วย 4. Video Content Marketing การตลาดผ่านวิดีโอได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะหลังจาก TikTok เป็นกระแส ทำให้วิดีโอแนวตั้ง (Vertical Video) กลายเป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับผู้ใช้อุปกรณ์พกพา วิดีโอยังเป็นหนึ่งในรูปแบบคอนเทนต์ที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้ดี ตัวอย่างจาก Blendtec แบรนด์เครื่องปั่น Blendtec พิสูจน์ว่าคอนเทนต์ในอุตสาหกรรมที่ดูเหมือนจะน่าเบื่อสามารถกลายเป็นไวรัลได้ หากคุณจับจุดที่ดึงดูดผู้ชมได้ พวกเขาสร้างซีรีส์วิดีโอชื่อ “Will It Blend” ซึ่งทดสอบปั่นสิ่งของแปลก ๆ ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 700% ในช่วงสามปี 5. Ebook Content Marketing Ebooks เป็นอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างคอนเทนต์อย่างรวดเร็วและดึงดูดลูกค้าเป้าหมาย อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้ด้วย Hubspot ประสบความสำเร็จอย่างมากในการใช้ Ebook เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้อ่านและสร้างการรับรู้แบรนด์ ตัวอย่างจาก Hootsuite Hootsuite เป็นเครื่องมือบริหารจัดการโซเชียลมีเดีย พวกเขามีบทความ ข้อมูล และ Ebook จำนวนมากที่เป็นประโยชน์บนเว็บไซต์ ซึ่งเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อ่านที่ต้องกรอกก่อนจะดาวน์โหลด Ebook ไปอ่าน 6. Promotional Content คอนเทนต์โปรโมชันกระตุ้นส่งเสริมการขายสินค้า ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมแจกสินค้า แจกส่วนลด หรือโปร 1 แถม 1 โดยมีการตั้งกฎกติกาต่าง

Read More »
มาร์เก็ตเพลส คือ แพลตฟอร์มระบบการขายออนไลน์ที่ขับเคลื่อนธุรกิจยุคออนไลน์

มาร์เก็ตเพลส คือ แพลตฟอร์มระบบการขายออนไลน์ที่ขับเคลื่อนธุรกิจยุคออนไลน์

ในโลกธุรกิจที่ผู้คนหันมาซื้อของออนไลน์มากกว่าที่หน้าร้าน การเข้าใจระบบการขายออนไลน์จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ “Marketplace คือ” หนึ่งในคำศัพท์ที่ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายในวงการอีคอมเมิร์ซ แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจความหมายและความสำคัญอย่างแท้จริง บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ มาร์เก็ตเพลส คือ อะไร อย่างละเอียด และเหตุผลที่ทำให้ช่องทางนี้กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับการซื้อขายในยุคดิจิทัล มาร์เก็ตเพลส คืออะไร? มาร์เก็ตเพลส (Marketplace) คือ แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายเข้าด้วยกัน เปรียบเสมือนร้านขายสินค้าหรือห้างสรรพสินค้าดิจิทัลขนาดใหญ่ที่รวบรวมร้านค้าและสินค้าหลากหลายประเภทไว้ในที่เดียว โดยไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านจริง หากอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ มาร์เก็ตเพลส คือ “ตลาดออนไลน์” หรือระบบการขายออนไลน์ที่เป็นแหล่งนัดพบของผู้ซื้อและผู้ขาย ที่มีทั้งบริษัท ร้านค้า และผู้ขายรายย่อยมานำเสนอสินค้าของตนเอง ทำให้ผู้ซื้อสามารถเลือกสินค้าได้หลากหลาย เปรียบเทียบราคา และซื้อสินค้าจากหลายร้านในแพลตฟอร์มเดียวได้อย่างสะดวก แพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสจะให้บริการระบบที่จำเป็นสำหรับการซื้อขาย เช่น ระบบการชำระเงิน ระบบการจัดการร้านค้า และระบบการจัดส่งสินค้า โดยผู้ขายเพียงนำสินค้ามาลงขาย ดูแลสต๊อกสินค้า และจัดส่งสินค้าเมื่อมีคำสั่งซื้อ ส่วนผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสจะได้รับค่าคอมมิชชันหรือค่าธรรมเนียมจากการขายที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม ประเภทของมาร์เก็ตเพลส Marketplace คือ ระบบที่แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ที่พบเห็นได้ในประเทศไทยปัจจุบัน: 1. อี-มาร์เก็ตเพลส (E-Marketplace คือ) E-Marketplace คือ ตลาดอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ที่รวบรวมร้านค้าและสินค้าหลากหลายประเภทไว้ในที่เดียว ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงสินค้าที่ต้องการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ระบบนี้เชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายเข้าด้วยกัน สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก มีการจัดการระบบต่าง ๆ เช่น การสร้างร้านค้า การจัดการสินค้า และระบบชำระเงินที่ปลอดภัย ปัจจุบัน อี-มาร์เก็ตเพลสยังคงเป็นช่องทางที่สำคัญที่สุดในตลาดอีคอมเมิร์ซของไทย โดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 55% ของมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตัวอย่างแพลตฟอร์มยอดนิยมในกลุ่มนี้ ได้แก่ Shopee และ Lazada รวมถึง TikTok และ Facebook ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน 2. โซเชียล คอมเมิร์ซ (Social Commerce) โซเชียล คอมเมิร์ซเป็นการค้าขายผ่านโซเชียลมีเดีย เป็นแนวทางใหม่ในการทำธุรกิจที่ผสานรวมการขายสินค้าและบริการเข้ากับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ LINE ผู้ใช้สามารถเลือกชมและซื้อสินค้าผ่านช่องทางเหล่านี้ได้โดยตรง โดยไม่ต้องออกจากแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่ ซึ่งทำให้กระบวนการซื้อขายมีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น มันคือ การรวมกันของโซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซ ตัวอย่างเช่น การใช้ฟีเจอร์ “Shop” บน Instagram หรือ Facebook Shops ที่ช่วยให้ผู้ค้าแสดงสินค้าของตนในรูปแบบที่ดึงดูดความสนใจ ปัจจุบัน โซเชียล คอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มเช่น TikTok ซึ่งกลายเป็นช่องทางใหม่สำหรับการซื้อขายสินค้าภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มาร์เก็ตเพลส vs อีคอมเมิร์ซ: ความแตกต่างที่ควรรู้ หลายคนมักสับสนระหว่างมาร์เก็ตเพลสและอีคอมเมิร์ซ แม้ว่าทั้งสองจะเกี่ยวข้องกับระบบการขายออนไลน์ แต่มีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ: มาร์เก็ตเพลส คือ: อีคอมเมิร์ซ: ความแตกต่างหลัก ๆ ระหว่างทั้งสองรูปแบบมีดังนี้: 1. การจัดการและควบคุม 2. ความหลากหลายของสินค้า 3. ค่าใช้จ่ายและต้นทุน 4. การทำการตลาด 4 มาร์เก็ตเพลสยอดนิยมในประเทศไทย ในประเทศไทยมีร้านขายสินค้าออนไลน์ในรูปแบบ Marketplace คือ ระบบที่โดดเด่นหลายแห่ง แต่ละแห่งมีจุดเด่นและกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกัน ต่อไปนี้ คือ 4 แพลตฟอร์มยอดนิยม: 1. Facebook Marketplace Facebook Marketplace เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย ซึ่งทั้งบุคคลทั่วไปและธุรกิจสามารถซื้อและขายสินค้าในพื้นที่ได้ ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายผู้ใช้ Facebook จำนวนมาก ทำให้ผู้ขายสามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องมีการตั้งค่าที่ซับซ้อน ข้อดี: ไม่มีค่าธรรมเนียมในการลงรายการสินค้า สื่อสารกับผู้ซื้อโดยตรง และเข้าถึงชุมชนในพื้นที่ได้อย่างกว้างขวาง ข้อควรพิจารณา: ตัวเลือกการชำระเงินและการจัดส่งในตัวมีจำกัด ผู้ขายต้องจัดการด้านโลจิสติกส์เหล่านี้ด้วยตนเอง 2. Lazada Lazada เป็นหนึ่งในตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นที่รู้จักในฐานะแพลตฟอร์มที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง Lazada นำเสนอเครื่องมือที่หลากหลายสำหรับผู้ขาย รวมถึงโซลูชันการโฆษณา การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ และการเข้าถึงแคมเปญระดับประเทศเช่น “Lazada Birthday Sale” ข้อดี: เครือข่ายโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง เครื่องมือโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย และความไว้วางใจของลูกค้าสูง ข้อควรพิจารณา: การแข่งขันสูงและค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโปรแกรมผู้ขายระดับพรีเมียมเช่น LazMall 3. Shopee Shopee เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นหลักในวงการอีคอมเมิร์ซของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านประสบการณ์การใช้งานบนมือถือเป็นหลักและกิจกรรมเมกะเซลล์บ่อยครั้ง เช่น Shopee 9.9 และ Shopee

Read More »
Influencer Marketing TikTok: เริ่มต้นอย่างไรให้ปัง

Influencer Marketing TikTok: เริ่มต้นอย่างไรให้ปัง

Influencer Marketing TikTok: เจาะลึกกลยุทธ์การตลาดที่มาแรงที่สุดบนโลกโซเชียล การทำการตลาดบน TikTok ผ่าน Influencer Marketing กำลังเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังที่สุดในยุคดิจิทัล หลายแบรนด์เลือกใช้บริการ Influencer Agency TikTok เพื่อวางกลยุทธ์การตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการผสมผสานระหว่างการตลาดผ่านผู้ทรงอิทธิพลและแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ได้อย่างตรงจุด TikTok คืออะไร และทำไมถึงมาแรงในวงการการตลาดออนไลน์? TikTok เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่รวบรวมองค์ประกอบของการแชร์วิดีโอสั้น ๆ ที่มีความยาวไม่เกิน 3 นาที ในหัวข้อที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเต้น การร้องเพลง เนื้อหาตลก ความสัมพันธ์ กีฬา สุขภาพ หรือแม้แต่ข่าวสาร TikTok ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมที่มาแรงที่สุดในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Millennials สิ่งที่ทำให้ TikTok โดดเด่นและแตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ คือ รูปแบบการมีส่วนร่วมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น: ด้วยอัลกอริทึมที่ชาญฉลาด TikTok สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของผู้ใช้ เพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่ตรงใจ ทำให้ผู้ใช้ใช้เวลาบนแอปพลิเคชันเฉลี่ยถึง 89 นาทีต่อวัน นี่จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับแบรนด์ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านการตลาดบน TikTok อินฟลูเอนเซอร์หมายถึงอะไร และ Influencer Marketing คืออะไร? อินฟลูเอนเซอร์หมายถึง บุคคลที่มีผู้ติดตามจำนวนมากในสื่อโซเชียลมีเดีย มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และสามารถมีผลกระทบต่อความคิดเห็นและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ เป็นเสมือนการสื่อสารผ่านบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นการตลาดแบบปากต่อปากในรูปแบบดิจิทัล Influencer Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่เน้นการใช้บุคคลที่มีอิทธิพลต่อกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างการรับรู้ ดึงดูดความสนใจ และส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ ปัจจุบันการทำการตลาดบน TikTokผ่านอินฟลูเอนเซอร์กำลังได้รับความนิยมสูงมาก TikTok Influencer คือใคร? มาดู Influencer ตัวอย่างในไทย TikTok Influencer หรืออินฟลูเอนเซอร์ TikTok คือ บุคคลที่มีอิทธิพลบนแพลตฟอร์ม TikTok มีผู้ติดตามจำนวนมาก และได้รับความเชื่อถือจากผู้ชม พวกเขาสร้างสรรค์คอนเทนต์วิดีโอที่น่าสนใจ ดึงดูดความสนใจ และมีความสามารถในการโน้มน้าวความคิดเห็นและการตัดสินใจของผู้ติดตาม คนไทยมักเรียกอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ว่า “ดาวติ๊กต๊อก” โดยพวกเขามีบทบาทสำคัญในการสร้างกระแสและมีอิทธิพลต่อผู้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นการเต้น การแต่งตัว หรือแม้แต่การใช้สินค้าต่างๆ ยกตัวอย่าง Influencer ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการทำการตลาดบน TikTok ได้แก่ Nano Influencer ด้านความงามที่มียอดวิวสูงถึงหลักแสน หรือ Macro Influencer ด้านไลฟ์สไตล์ที่มีผู้ติดตามหลักล้าน ซึ่งสามารถสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเภทของ Influencer จำแนกตามจำนวนผู้ติดตาม อินฟลูเอนเซอร์สามารถแบ่งได้ตามระดับผู้ติดตาม ซึ่งมีผลต่อค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างด้วย โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้: 1. Nano Influencers 2. Micro Influencers 3. Mid-tier Influencers 4. Macro Influencers 5. Mega Influencers เนื้อหา (Content) แบบไหนที่ได้ผลดีบน TikTok? เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้หลักของ TikTok เป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยตอบสนองต่อการโฆษณาแบบดั้งเดิม วิดีโอที่ได้รับความนิยมบน TikTok จึงมักเป็นแบบออร์แกนิก ที่ทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกว่าถูกจัดฉากหรือขายของมากเกินไป คอนเทนต์ต้องให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ โดยมีเป้าหมาย คือ การนำเสนอแบรนด์โดยไม่รู้สึกว่ามีการขาย รูปแบบคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมบน TikTok มีหลากหลาย เช่น: ทำไมต้องใช้ TikTok Influencer Marketing? การทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์บน TikTok มีข้อดีหลายประการที่ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ หันมาให้ความสนใจ: 1. ช่วยจำกัดขอบเขตของกลุ่มเป้าหมาย การใช้อินฟลูเอนเซอร์ช่วยให้แบรนด์สามารถกำหนดขอบเขตของกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนมากขึ้น โดยการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมกับคอนเซปต์ของแบรนด์ สินค้า และกลุ่มผู้ติดตาม เช่น ถ้าต้องการขายเวย์โปรตีน การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีความสนใจด้านสุขภาพและการออกกำลังกายจะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากกว่า 2. สร้างการรับรู้ในวงกว้าง อินฟลูเอนเซอร์มีผู้ติดตามจำนวนมากและมีความสามารถในการสื่อสารได้อย่างน่าสนใจ ทำให้สามารถช่วยสร้างการรับรู้ให้แบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการแสดงความคิดเห็น การรีวิว หรือการเป็นคนกลางในการกระจายข้อมูล 3. สร้างความน่าเชื่อถือ อินฟลูเอนเซอร์มักเป็นผู้ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การที่พวกเขาศึกษาและทำความเข้าใจกับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ก่อนนำเสนอ ทำให้ข้อมูลที่สื่อสารออกไปมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ 4. สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า อินฟลูเอนเซอร์เป็นเสมือนคนกลางที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกค้าและแบรนด์ ผ่านการนำเสนอที่สร้างสรรค์และน่าสนใจ ทำให้ลูกค้ารู้สึกดีกับแบรนด์และเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ได้ 5. กระตุ้นยอดขาย การใช้อินฟลูเอนเซอร์ช่วยโปรโมตสินค้าหรือบริการสามารถกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อมีการนำเสนอโปรโมชันที่น่าสนใจ เช่น โค้ดส่วนลด หรือการรีวิวพร้อมติดตะกร้าให้ลูกค้าสามารถกดสั่งซื้อได้ง่ายขึ้น ประเภทของ

Read More »
TikTok Business คืออะไร? ทำไมแบรนด์ธุรกิจต้องหันมาสนใจสิ่งนี้?

TikTok Business คืออะไร? ทำไมแบรนด์ธุรกิจต้องหันมาสนใจสิ่งนี้?

ในยุคที่ทุกคนตัดสินใจซื้อด้วยปลายนิ้ว การทำ Content Marketing ให้โดดเด่นและน่าสนใจเป็นเรื่องสำคัญ Yudniw Marketing มองเห็นโอกาสนี้บน TikTok Business แพลตฟอร์มการตลาดรูปแบบใหม่ที่จะช่วยยกระดับการสร้าง TikTok Business Content ให้แบรนด์ธุรกิจได้ดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยบริการทำการตลาด TikTok ครบวงจร เพื่อสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอย่างยั่งยืนในโลกออนไลน์ TikTok Business คืออะไร? TikTok for Business หรือ TikTok Business คือ แพลตฟอร์มการตลาดรูปแบบใหม่บนแอปพลิเคชัน TikTok ที่ช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างสรรค์คอนเทนต์ประเภทวิดีโอสั้นได้อย่างโดดเด่น ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชื่นชอบเสพคอนเทนต์แบบสั้น กระชับ และเข้าใจง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องราว โปรโมตสินค้า หรือทำแคมเปญโฆษณา โดย TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่มีจำนวนผู้ใช้งานมหาศาลถึง 1 พันล้านคนทั่วโลก มีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้ เช่น Hashtag Challenge หรือการทำฟิลเตอร์สุดสร้างสรรค์ให้ใช้ร่วมกัน ประโยชน์ TikTok Business TikTok Business ไม่ได้เป็นเพียงแค่แพลตฟอร์ม สำหรับสร้างคอนเทนต์สนุก ๆ เท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์มากมายสำหรับแบรนด์และธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายยุคใหม่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการรับรู้ การสร้างภาพลักษณ์ การขายสินค้า ไปจนถึงการมีส่วนร่วมกับลูกค้า TikTok ตอบโจทย์ได้หมด ทำไมแบรนด์ธุรกิจต้องหันมาสนใจ TikTok For Business? การแข่งขันในตลาดออนไลน์ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ TikTok for Business คือ หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ช่วยให้แบรนด์ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ด้วยจำนวนผู้ใช้งานมหาศาล โอกาสไวรัล และเครื่องมือการตลาดครบครัน ทำให้ TikTok กลายเป็นช่องทางในการทำ Content Marketing ที่เหล่า Marketer ต้องจับตามอง หากไม่อยากตกเทรนด์ทางธุรกิจ การพิจารณาว่าทำไมธุรกิจต้องเลือก ทำการตลาดบน TikTok? จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฟีเจอร์เครื่องมือของ TikTok For Business สำหรับ Marketer ยุคใหม่ ในยุคที่การทำการตลาดออนไลน์เป็นเรื่องจำเป็น TikTok For Business ได้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้แบรนด์ได้สร้างสรรค์คอนเทนต์โฆษณาที่โดดเด่น ด้วยฟีเจอร์และเครื่องมือการตลาดที่ทันสมัย เพื่อดึงดูดและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Scale & Creativity TikTok เปิดโอกาสให้แต่ละแบรนด์สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เพื่อเข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการทำวิดีโอสั้น, AR Branded Effect หรือ Hashtag Challenge Sight, Motion & Sound TikTok Business มีเครื่องมือให้เลือกใช้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเพลงประกอบ เสียงพากย์ เสียงเอฟเฟกต์ รวมถึงฟิลเตอร์และสติกเกอร์สุดสร้างสรรค์ เพื่อช่วยสร้างคอนเทนต์โดนใจได้ง่ายๆ Inclusive & Participatory Community ผู้ใช้ TikTok มีส่วนร่วมในการสร้างเนื้อหาบนแพลตฟอร์มค่อนข้างมาก ถ้าแบรนด์ทำคอนเทนต์สนุกและโดนใจคนส่วนใหญ่ ก็มีโอกาสถูก Share หรือนำไป Duet/React ต่อ จนเกิดเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงในวงกว้างได้เร็ว The place where culture is made TikTok เชื่อมผู้ใช้กว่า 150 ประเทศ เป็นพื้นที่ในการค้นพบแบรนด์ใหม่ ๆ รับทราบเทรนด์ล่าสุด หรือสร้างกระแสของตัวเอง จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมใหม่ ๆ ในโลกออนไลน์ Seamless & simple solutions TikTok Business มีเครื่องมือสร้างคอนเทนต์และวัดผลแคมเปญที่ใช้งานง่าย ครอบคลุม ไม่ยุ่งยาก ด้วยระบบอัตโนมัติในการตั้งเป้าหมาย การเลือกงบประมาณ รวมถึงการติดตามและวัดผลแคมเปญที่เข้าใจง่าย เหมาะกับแบรนด์ทุกขนาดตั้งแต่เริ่มต้น วิธีเริ่มต้นใช้งาน TikTok for Business หลายๆ แบรนด์อาจยังมีข้อสงสัยว่า จะเริ่มต้นใช้ TikTok for Business เพื่อทำการตลาดได้อย่างไร ไม่ต้องกังวลไป เพราะวันนี้เรามีวิธีการสมัครใช้งานและขั้นตอนเบื้องต้นมาฝากกัน รับรองว่าทำตามได้ไม่ยาก หากสนใจบริการทำการตลาด TikTok สามารถใช้บริการ Yudniw Marketing ได้แล้ววันนี้! Yudniw Marketing คือ ครีเอทีฟเอเจนซี่และที่ปรึกษาด้านการทำการตลาดบนแพลตฟอร์ม TikTok โดยเฉพาะ

Read More »
Scroll to Top
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.